ป้องกันทุกภัยความเสี่ยงจากไฟฟ้า ด้วยการเลือกสายไฟฟ้าให้เหมาะสมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในที่พักอาศัย สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะต้องเลือกอย่างไร ในบทความนี้เราจะมาให้ความรู้เบื้องต้น พร้อมแนะนำวิธีการเลือกใช้สายไฟฟ้าอย่างง่ายให้แก่ทุกคน หากพร้อมแล้วเลื่อนลงไปอ่านกันได้เลย
อันดับแรกก่อนที่จะเข้าสู่วิธีการเลือกใช้สายไฟฟ้าสำหรับข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ คุณจำเป็นจะต้องรู้เสียก่อนว่าประเภทของสายไฟแบบไหนที่เหมาะสมกับการใช้ในเคหสถาน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยต่อทรัพย์สินและชีวิต
ซึ่งประเภทของสายไฟที่เหมาะสม คือ สายไฟแรงดันต่ำ สำหรับจ่ายกระแสไฟฟ้าภายในอาคารหรือที่พักอาศัย โดยทั่วไปแล้วจะมีแรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 750 โวลต์ สามารถแบ่งตามความนิยมในการใช้งานได้ทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่
สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นช่างไฟ แต่เป็นมือใหม่ในการเป็นเจ้าของบ้าน คงต้องสงสัยไม่น้อยว่าทำไมถึงต้องให้ความสำคัญกับการเลือกใช้สายไฟฟ้าให้เหมาะสม ในเมื่อก็มีหน้าที่ในการนำกระแสไฟไปจ่ายต่อให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าและแหล่งกำเนิดแสงเหมือน ๆ กัน?
จริง ๆ คำตอบอาจจะอยู่ในความสงสัยนั้นส่วนหนึ่งแล้ว เพราะความสำคัญของสายไฟคือการจ่ายกระแสไฟฟ้าไปสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องมาพร้อมกับ ความปลอดภัย เพราะถ้าสายไฟฟ้าที่เลือกใช้เกิดไม่ตรงตามสเป็ก ก็อาจจะทำให้เกิดความเสียหายที่นำไปสู่อุบัติเหตุทางไฟฟ้า จนทำให้ผู้อาศัยในบ้านได้รับบาดเจ็บ หรืออาจหนักถึงขั้นสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้
หลังจากได้รู้เรื่องพื้นฐานทั้งประเภทของสายไฟและความสำคัญในการเลือกใช้งานกันไปแล้ว ในส่วนนี้เราก็ดำเนินมาถึงใจความสำคัญของบทความ ที่จะมาบอกต่อหลักการเลือกใช้สายไฟสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างง่ายสำหรับมือใหม่ บอกเลยว่าแค่อ่านและจดจำให้ดีก็จะช่วยให้คุณสามารถเข้าใจ พร้อมนำไปประกอบการเลือกซื้อสายไฟมาใช้งานในบ้านได้อย่างแน่นอน
1. เลือกขนาดสายไฟให้เหมาะกับกำลังไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้า
เริ่มต้นกันที่การเลือกขนาดสายไฟ โดยจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับแรงดันและปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้งาน ที่สำคัญต้องสอดคล้องกับขนาดของฟิวส์หรือเบรกเกอร์ด้วย ยกตัวอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เห็นได้ชัดอย่างเครื่องปรับอากาศ (แอร์) และเครื่องทำน้ำอุ่น โดยมีตัวอย่างการใช้ขนาดสายไฟดังนี้
2. เลือกระยะความยาวและการเดินสายไฟให้เหมาะสม
ควรเลือกระยะความยาวของสายไฟให้เหมาะสม โดยเน้นไปที่สายไฟที่มีค่าความต้านทานต่อหน่วยความยาวต่ำ เพื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านสายไฟได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความร้อนสะสมจนทำให้สายไฟและอุปกรณ์ต่าง ๆ เสียหายได้
3. เลือกใช้สายไฟฟ้าตามสภาพแวดล้อมการติดตั้ง
เพราะความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งสภาพแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากต่อการเลือกใช้สายไฟฟ้า เนื่องจากเป็นตัวแปรที่อาจทำให้เกิดเหตุไฟรั่ว ไฟช็อต ไฟลัดวงจรได้ ดังนั้น จึงควรพิจารณาให้ดี ยกตัวอย่างเช่น หากต้องเดินสายไฟในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง หรือมีอุณหภูมิสูง ก็ควรเลือกสายไฟที่มีฉนวนหุ้มที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมเหล่านั้นได้ดีอย่าง ฉนวน PVC แต่ถ้าต้องติดตั้งในที่ที่มีอุณหภูมิสูงอย่างบริเวณใต้หลังคา ก็ควรเลือกสายไฟที่มีฉนวนหุ้มแบบ XLPE ชนิดทนความร้อน (Heat Resistant) แทน
4. เลือกชนิดสายไฟให้เหมาะสมกับการใช้งาน
ชนิดสายไฟมีความสำคัญเป็นอย่างมากกับการเลือกสายไฟสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากชนิดสายไฟจะส่งผลต่อคุณสมบัติและการใช้งานของสายไฟ เช่น ความสามารถในการทนกระแสไฟฟ้า ความสามารถในการทนความร้อน และความสามารถในการทนความชื้น โดยสาย THW โดยส่วนมากจะนิยมใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป อย่างพัดลม เตารีด โคมไฟ ในขณะที่สาย VAF จะใช้กับตู้คอนโทรล เต้ารับ และปลั๊ก แต่สำหรับสาย VCT นั้น จะใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีกำลังไฟสูง อย่างเครื่องปรับอากาศ และเครื่องทำน้ำอุ่น นั่นเอง
เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดในการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อย่าลืมคำนึงถึงหลักการเลือกใช้สายไฟฟ้าที่เหมาะสมทุกครั้งก่อนเลือกซื้อ แต่หากใครไม่มั่นใจ สามารถมาปรึกษาเพื่อขอดูสินค้าและเลือกซื้อให้ตรงตามมาตรฐานไทยและสากลได้เลยที่ STS Thonburi บริษัทขายส่งสายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด และเป็นตัวแทนจำหน่ายของแบรนด์ชั้นนำมากมาย เช่น สายไฟ Thai Union , FUHRER , PKS และอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะมองหาสายไฟ THW, VAF หรือ VCT สำหรับใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบไหนก็มีครบ พร้อมบริการจัดส่งให้ทั่วประเทศ
ข้อมูลอ้างอิง